ทำไมค่าเงินบาทถึงผันผวนหนักในไตรมาส 3

1.แรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา
หนึ่งในปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทคือ การปรับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในช่วงกลางปี 2025 ที่ยังคงดอกเบี้ยสูงอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เงินเฟ้อจะชะลอลงแล้ว แต่การตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงเพื่อกดเงินเฟ้อให้ลง ทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทยกลับไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงและมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ดังนั้นการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น จึงสามารถกดดันเงินบาทให้อ่อนตัวลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ได้

2.เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง
ประเทศจีนในฐานะคู่ค้าที่รายใหญ่ที่สุดของไทย ยังคงเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง
โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว และการบริโภคภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว และการ
บริโภคภายในประเทศที่ยังไม่ขยับ ทำให้การส่งออกของไทยไปจีนลดลงตามไปด้วย นักท่องเที่ยวจีนก็เดินทางออกนอกประเทศน้อยกว่าที่คิดไว้ ดังนั้นการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศไทยจึงได้รับผลกระทบโดยตรง ส่งผลให้เงินบาทขาดแรงหนุนจากรายได้สกุลของต่างประเทศ

3.ความต้องการนำเข้าสูงขึ้นสวนทางรายได้ต่างประเทศ
ประเทศไทยยังต้องนำเข้าสินค้าจำเป็นอยู่ อย่างเช่น น้ำมัน พลังงาน และวัตถุดิบสำหรับการผลิต ถึงแม้เศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ภาคอุตสาหกรรมหลายกลุ่มเริ่มเร่งการผลิต เพื่อตุนสต๊อกสินค้าเอาไว้ล่วงหน้าในช่วงที่ราคาตลาดโลกยังอยู่ในระดับที่พอรับได้ อย่างไรก็ตามรายได้จากการส่งออกและท่องเที่ยว ยังไม่ฟื้นตัวกลับจึงเกิดความไม่สมดุลระหว่างรายจ่ายและรายรับจากต่างประเทศ กดดันค่าเงินบาทให้ผันผวนตามอุปสงค์ – อุปทานของเงินตราต่างประเทศ

4.การเก็งกำไรในตลาดเงินระยะสั้น
ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนในตลาดการเงินมักจะใช้โอกาสนี้ในการเก็งกำไรค่าเงิน ซึ่งยิ่งสร้างแรงเหวี่ยงให้ค่าเงินบาทผันผวนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวลือหรือความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางที่ไม่ชัดเจน การเก็งกำไรในตลาดฟอเร็กซ์จึงยิ่งซ้ำเติมให้เงินบาทอ่อนไหวต่อแรงซื้อขายในระยะสั้น